Infographic สื่อแนวใหม่ เข้าใจง่ายได้ประโยชน์
ช่วงนี้ใครที่นิยมเล่นอินเตอร์เน็ตอยู่เป็นประจำก็คงจะเคยได้ยินคำว่า Infographic หรือบางคนก็อาจจะรู้จักเป็นอย่างดี แต่อีกหลายคนก็อาจจะยังงงๆ ว่าเอ๊ะ Infographic
คืออะไรนะ? ถ้าให้จำกัดความกันสั้นๆ แบบเข้าใจกันง่ายๆ ก็คงต้องขอบอกว่า
Infographic
ก็คือการย่อยข้อมูลให้ออกมาเป็นภาพเพื่อง่ายต่อการทำความเข้าใจนั่นเอง หรือบางครั้ง Infigraphic อาจจะมาในรูปแบบของ Movie Clip ก็ได้เช่นกัน
ภาพแบบ Infographic
นี้มักเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาก
แต่ทำเป็นภาพที่สื่อออกมาแล้วเข้าใจได้ง่าย
ใช้เวลาในการอ่านและดูภาพทั้งหมดได้ภายในเวลาสั้นๆ สำหรับครั้งนี้ eit-showcase มีภาพ Infographic ที่ให้ข้อมูลดีๆ มีประโยชน์มาฝาก เพื่อให้หลายๆ คนที่อาจจะยังไม่คุ้นเคยได้ทำความรู้จักกับสื่อแนวนี้กันก่อน
คราวหน้าเราจะมาบอกเล่าให้ฟังถึงความเป็นมาของ Infographic
ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร มีจุดกำเนิดมาจากไหน ใครเป็นคนคิดค้น
สารพัดเรื่องราวที่จะเป็นประโยชน์ให้คุณทันสมัยไม่ตกกระแส
ติดตามได้ที่นี่ครับ ^_^
ถึงจุดเปลี่ยน! ปี 58 วงการโทรทัศน์ไทยก้าวสู่ระบบดิจิตอล
ถ้าจะถามถึงรายการหรือละคร
ที่กำลังออนแอร์ในโทรทัศน์เวลานี้มีอะไรที่ติดตามบ้าง
เชื่อได้เลยว่าต้องมีหลายคนที่สามารถแนะนำได้เป็นคุ้งเป็นแคว
แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าระบบโทรทัศน์ที่ใช้ถ่ายทอดรายการและละครที่ใช้กัน
อยู่ในบ้านเรานั้นเป็นระบบแบบไหน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้า
เราจะไม่รู้หรือไม่ให้ความสนใจกับข่าวที่ทางคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ (กสทช.)
กำลังบังคับให้มีการส่งสัญญาณรูปแบบดิจิตอลอย่างเป็นทางการในปี 2558 นี้
เพราะไม่ทราบว่า
ผลของการเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนระบบสัญญาณจะส่งผลอย่างไรกับผู้ชมบ้าง
จะว่าไปแล้วปกติระบบโทรทัศน์บ้านเราเป็นระบบแบบอนาล็อกมาโดยตลอด หลายคนอาจจะไม่เข้าใจว่าระบบนี้มันเป็นอย่างไร...ระบบ
อนาล็อกเป็นระบบทีวีที่แพร่สัญญาณโดยการนำเอาสัญญาณภาพมาผสมกับสัญญาณวิทยุ
แพร่ภาพเป็นแบบเอเอ็ม และผสมสัญญาณเสียงเข้ากับคลื่น
และแพร่สัญญาณเป็นแบบเอฟเอ็ม ซึ่งใช้ช่องความถี่ตามมาตรฐานในย่าน VHF ขนาด 7
เมกะเฮิรตซ์ และ UHF ขนาด 8 เมกะเฮิรตซ์
ที่ต้องใช้ช่องความถี่กว้างขนาดนี้
เนื่องจากว่าข้อมูลภาพแบบอนาล็อกเป็นข้อมูลที่มีขนาดใหญ่มาก ผิด
กับระบบดิจิตอล
ที่เป็นระบบการรับส่งสัญญาณภาพและเสียงที่มีข้อมูลที่มีการเข้ารหัสเป็น
ดิจิตอล ทีมีค่า “0” กับ “1” เท่านั้น โดยมีกระบวนการต่าง ๆ
ที่จะทำการแปลงสัญญาณภาพและเสียงให้เป็น ดิจิตอล มีการบีบอัดข้อมูล
ทำการเข้ารหัสข้อมูล
ก่อนที่จะทำการมอดูเลตข้อมูลดิจิทัลเหล่านี้เพื่อส่งผ่านตัวกลางไปสู่ผู้รับ
ปลายทาง ซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับโทรทัศน์ระบบอะนาล็อก
ทั้งนี้ เมื่อสัญญาณดิจิตอลถูกส่งมายังเครื่องรับโทรทัศน์
จะผ่านกระบวนการบีบอัดข้อมูลสัญญาณดิจิตอล โดย MPEG-2 หรือ MPEG-4
ทำการถอดรหัส หลังจากนั้นสัญญาณจะถูกส่งไปยังหลอดภาพ
แล้วหลอดภาพจะยิงลำแสงออกไปยังหน้าจอโทรทัศน์ ทำให้เกิด Pixel (จุดภาพ)
บนจอภาพ ซึ่งในระบบ HDTV นั้นจะให้ภาพที่มีความละเอียดของ Pixel
สูงกว่าโทรทัศน์ทั่วไปมาก จึงทำให้ภาพที่ออกมามีความคมชัด ละเอียด
และไม่มีการกระพริบของสัญญาณภาพ
สำหรับ
ข้อดีของการมีระบบโทรทัศน์แบบดิจิตอลเข้ามาใช้แทนระบบอนาล็อกนั้น
คือการให้สัญญาณภาพและเสียงที่ดีขึ้น
มีความคมชัดและมีระบบเสียงที่สมจริงมากขึ้น
โดยที่สามารถผลิตรายการได้มากกว่า 1 รายการ (1 ช่อง)
ในช่วงคลื่นเดิมที่ได้รับสัมปทานมา 7 เมกะเฮิรตซ์
ทำให้ผู้ชมสามารถเลือกรับชมรายการที่ต้องการได้ อย่างเช่น ช่องข่าว
ช่องกีฬา สามารถรับชมรายการทีวี
ขณะเดินทางในรถยนต์โดยที่ภาพไม่กระตุกหรือปัญหาสัญญาณอ่อน
มีความเสถียรมากกว่า รวมทั้งยังรองรับการ
ใช้งานในรูปแบบสื่อผสมต่าง ๆ ได้มากมาย ทั้งสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต
แตกต่างกับทีวีดาวเทียม ที่สัญญาณภาพจะต้องพึ่งพาสภาพดินฟ้าอากาศ
แถมยังมีข้อจำกัดในการถ่ายทอดสัญญาณภาพและเสียงที่ด้อยกว่ามาก
ทำให้สามารถดูได้ทุกที่ไม่มีสะดุด
ถึงแม้ว่าหากดูจากประโยชน์ของมันแล้วก็ไม่เห็นมีข้อเสียอะไร แต่มันมีข้อ
เสียอยู่แน่ล่ะ อย่างน้อยก็เงินในกระเป๋าเรานี้แหละ
เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่มีระบบดิจิตอลเข้ามาแล้ว โทรทัศน์รุ่นเก่า
รุ่นคลาสสิคสมัยคุณย่าคุณยายที่เก็บรักษาไว้และยังดูได้ในปัจจุบันคงมีอัน
ต้องควักเงินซื้อโทรทัศน์รุ่นใหม่
แต่ถ้าไม่ซื้อโทรทัศน์ก็ต้องซื้อกล่องรับสัญญาณ (เซ็ต ท็อป บ๊อกซ์) เพื่อแปลงสัญญาณออกอากาศจากระบบดิจิตอลเป็นระบบอนาล็อกเข้าโทรทัศน์ของเราอยู่ดี
โดย
ขณะนี้ทางกสทช.ได้กำหนดการเปลี่ยนผ่านการรับส่งสัญญาณโทรทัศน์จากระบบอะนา
ล็อกไปสู่ระบบดิจิตอล โดยมีเป้าหมายเริ่มทดลองการแพร่ภาพในอีก 6
เดือนข้างหน้า หรือภายในปีนี้
และน่าจะเริ่มเปิดประมูลใบอนุญาตประกอบกิจการทีวีดิจิตอลได้ภายในต้นปี 2556
และภายใน 4 ปี จะมีการยุติการส่งสัญญาณในระบบอะนาล็อก
และกำหนดให้ครัวเรือนในเมืองใหญ่สามารถรับสัญญาณในระบบดิจิตอลได้ไม่น้อย
กว่า 80% ภายใน 5 ปี จนสุดท้ายจะเริ่มกระบวนการยุติการให้บริการระบบอนาล็อก
(อนาล็อก สวิตช์ ออฟ) ในช่วง เดือนมกราคม 2558 ซึ่งถือเป็นการปิดฉากยุคอนาล็อก สู่ยุคดิจิตอลของวงการโทรทัศน์เมืองไทยอย่างเป็นทางการ
ส่วนเรื่องแนวทางการเตรียมตัวรับมือกับระบบโทรทัศน์แบบดิจิตอลนั้น สำหรับ
หน่วยงานหรือองค์กรทั่วไปจะต้องซื้ออุปกรณ์ในการออกอากาศเป็นระบบดิจิตอลแทน
ที่ของเดิมซึ่งเป็นระบบอนาล็อก ส่วนภาคประชาชนก็อย่างที่บอกคือ
เตรียมเงินซื้อโทรทัศน์กับเครื่องแปลงสัญญาณ
แต่ถ้าใครมีโทรทัศน์รุ่นใหม่อยู่ที่บ้านส่วนใหญ่ก็เป็นแบบดิจิตอลแล้ว
แถมแว่วมาว่าทาง กสทช.จะช่วยอุดหนุนค่าใช้จ่ายการติดตั้งด้วย
อีกทั้งช่วงแรกของการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิตอล
จะออกอากาศทั้งในระบบสัญญาณอนาล็อกและดิจิตอลควบคู่กันไป
เพราะฉะนั้นอย่าพึ่งกังวลเรื่องกระเป๋าสตางค์แฟ่บและเราก็มีเวลาเตรียมตัว
เข้าสู่ระบบดิจิตอลไปอีกระยะหนึ่งเลยแหละ
ส่วนทิศทางของธุรกิจสื่อโทรทัศน์ในบ้านเราเมื่อมีระบบดิจิตอลเข้ามา มีผู้เชี่ยวชาญออกมาให้ความเห็นว่า จะ
มีผู้ใช้บริการโทรทัศน์เพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน ที่มี 20 ล้านเครื่อง เป็น 40
ล้านเครื่องในอนาคตอันใกล้ และค่าโฆษณาต่าง ๆ จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าตัว
รวมไปถึงจะมีการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาเพิ่มมากขึ้น
ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลดีกับผู้ชมอย่างเรา ๆ แน่นอน
ถือว่าเรื่องนี้เป็นข่าวดีทั้งหน่วยงาน ผู้ประกอบการ
และผู้บริโภคเหลือเกินที่จะได้มีทางเลือกรับชมรายการที่หลากหลายมากขึ้น
ยังไงก็อย่าลืมมานับถอยหลังเทรนด์ระบบโทรทัศน์แบบใหม่ที่กำลังจะเข้ามามี
อิทธิพลต่อชีวิตเราในเร็ว ๆ นี้กันด้วย อีกไม่นานเกินรอ